April 23, 2024
The Theory of Everything (2014) เต็มเรื่อง

The Theory of Everything (2014) เต็มเรื่อง

 The Theory of Everything (2014) เต็มเรื่อง ความต่อเนื่อง: ตลอดทั้งเรื่อง การแสดงของสตีเฟน ฮอว์คิงของเอ็ดดี้ เรดเมย์นนั้นไม่มีอะไรพิเศษเลย ความทุ่มเทของเขาในการจับภาพความท้าทายทางร่างกายและอารมณ์ที่ฮอว์คิงต้องเผชิญในขณะที่เขาค่อยๆ สูญเสียการควบคุมร่างกายของเขา ทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางและได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เฟลิซิตี้ โจนส์ ก็สามารถแสดงได้อย่างทรงพลังในบทเจน ฮอว์คิง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น และการสนับสนุนสามีของเธออย่างไม่เปลี่ยนแปลง

จุดแข็งประการหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่ความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างแง่มุมส่วนตัวและทางวิทยาศาสตร์ในชีวิตของสตีเฟน ฮอว์คิง แม้ว่าจะช่วยให้มองเห็นความซับซ้อนของงานของเขาและการมีส่วนร่วมของเขาที่มีต่อฟิสิกส์เชิงทฤษฎี แต่ก็ยังทำให้เขามีมนุษยธรรมด้วยการมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้และความสัมพันธ์ส่วนตัวของเขา การเล่าเรื่องแบบคู่นี้เพิ่มความลึกและความสัมพันธ์ให้กับตัวละครและเรื่องราว

 The Theory of Everything (2014) เต็มเรื่อง

ยังถ่ายทอดช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งมีบทบาทในชีวิตของสตีเฟน ฮอว์คิงได้อย่างสวยงาม สะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าในด้านเครื่องช่วยการสื่อสารและคอมพิวเตอร์ที่ทำให้เขาสามารถทำงานต่อไปและสื่อสารกับโลกได้แม้จะมีข้อจำกัดทางกายภาพก็ตาม

การถ่ายภาพยนตร์ การกำกับศิลป์ และดนตรีประกอบของภาพยนตร์ช่วยยกระดับประสบการณ์การรับชมโดยรวม สร้างการเล่าเรื่องที่มีภาพสวยงามและสะท้อนอารมณ์ สล็อต ออนไลน์ โดยจะพาผู้ชมเข้าสู่โลกของตระกูลฮอว์คิง ดื่มด่ำไปกับความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์และความท้าทายส่วนตัวที่กำหนดเรื่องราวนี้

โดยสรุป The Theory of Everything (2014) เต็มเรื่อง เป็นละครชีวประวัติที่สะเทือนใจและสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งนำเสนอเรื่องราวชีวิตของอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์และเรื่องราวความรักที่ไม่ธรรมดาที่กำหนดการเดินทางของเขา เป็นการเฉลิมฉลองพลังแห่งการเชื่อมโยงของมนุษย์ ความยืดหยุ่น และการแสวงหาความรู้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจว่าแม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ดูเหมือนจะผ่านพ้นไม่ได้ จิตวิญญาณของมนุษย์ก็สามารถทะยานขึ้นไปได้สูง ทิ้งร่องรอยไว้บนโลกนี้อย่างลบไม่ออก ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของวิทยาศาสตร์หรือผู้ชื่นชอบการเล่าเรื่องที่สะเทือนอารมณ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอสิ่งที่ลึกซึ้งและเป็นข้อพิสูจน์ถึงมรดกที่ยืนยงของ Stephen Hawking

The Theory of Everything แนวความคิดรักนิรันดร์ ภาพยนตร์กับกับโดย James Marsh ที่เคยฝากผลงานมาแล้วกับ Shadow dancer ภาพยนตร์ถูกผลิตจากความเป็นจริงของ Stephen Hawking นักฟิสิกซ์โด่งดังที่ได้ฝากผลงานการเขียนมีชื่อเป็นต้นว่า A Brief History of Time

เรื่องย่อ : Stephen Hawking (Eddie Redmayne) นิสิตฟิสิกซ์ที่กำลังค้นคว้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเวลาแล้วก็หลุมดำ ได้เจอรักกับ Jane wire (Felicity Jones) แต่ว่าจู่ๆวันหนึ่งฮอวค์กิ้งได้เกิดอุบัติเหตุทำให้เขากำเนิดอาการทางประสาทการสั่งไม่ดีเหมือนปกติหรือที่เรียกกันในโรคals กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดเรื่องราวเยอะมากขึ้นในชีวิตของฮอวค์กิ้งแล้วก็ทำให้ชั่วชีวิตของเขานั้นแปรไป

3ประโยคที่จะให้ภาพยนตร์หัวข้อนี้เป็น ทรงอำนาจ อบอุ่น เสียนํ้าตา

ดูหนัง The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร

ตลอดตัวบทภาพยนตร์ทำเป็นดีเยี่ยมหมายถึงบางซีนมิได้แออัดเพื่อรเีชูนํ้าตาผู้ชมเลยแต่ทำให้ผู้ชมจี๊ดแบบจี๊ดมากมายๆๆๆผมนี่ตอนมองถึงกับขนาดนํ้าตาคลอไหลหลายซีนมากมาย ไม่เพียงแค่บทเพียงแค่นั้น แม้กระนั้นการแสดงของ เอ็ดดี้ ดีอย่างบอกผิดสมแล้วที่ได้เข้าชิงทั้งยังลูกโลกทองและก็oscar ส่วนเรื่องโปรดัคชั่นต่างๆทำเป็นดีเยี่ยมๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมกล้องถ่ายรูปการจัดแสงสว่างมองอบอุ่นแล้วก็วิจิตรตระการตามากมายๆอารมณ์คล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง About time อย่างยิ่งจริงๆ

The Theory of Everything (2014) เต็มเรื่อง หรือแนวคิดรักนิรันดรนั้นเกิดเรื่องราวที่สร้างมาจากโครงเรื่องจริงของ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง นักฟิสิกส์ที่มากด้วยวิชาความรู้แล้วก็ถูกถือได้ว่าอัจฉริยะอย่างยิ่งจริงๆ ในตอนแรกนั้นเขาก็ดำรงชีวิตอยู่แบบวัยรุ่นปกติคนหนึ่ง ไปเรียน มีความรัก รวมทั้ง ดำรงชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย

ในตอนแรกสตีเฟ่นยังเป็นเพียงแค่นิสิตชั้นปริญญาเอกด้านฟิสิกส์ ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อังกฤษ เท่านั้นก็อาจฟังมองน่าทึ่งแล้ว แม้กระนั้นเหนือสิ่งอื่นใด ลักษณะของโรคเริ่มส่งผลปะทุออกมาให้มองเห็น ซึ่งก่อนหน้าสตีเฟ่นก็มิได้รู้สึกตัวหรอก และไม่ได้คาดว่าตนเองจะเป็นโรคที่ร้ายแรงถึงกับตาย อาจไม่มีผู้ใดหรอกที่รู้สึกว่าตนเองไม่ปกติ แล้วก็พร้อมจะเสียชีวิตได้ในระยะเวลาเพียงไม่นานกับสตีเฟ่นก็ด้วยเหมือนกัน เขายังไปเรียน ขบขันกับเพื่อนพ้องๆดำรงชีวิตได้อย่างธรรมดาสุขดี และก็ที่สำคัญเป็น เขากำลังจะมี ‘ความรัก’ กับหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นนิสิตคณะศิลปศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน

คุณคนนั้นชื่อ เจน ไวลด์ ซึ่งแน่ๆว่าคุณมิได้ล่วงรู้เกี่ยวกับลักษณะของการป่วยของสตีเฟ่น เนื่องจากแม้กระทั้งเจ้าตัวเองก็ไม่บางทีอาจรู้ได้ ถัดมาเมื่อสตีเฟ่นรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคนี้ เขาก็บากบั่นเลิกความเชื่อมโยงกับเจน เนื่องจากแนวทางด้านหน้าอาจมิได้โรยไว้ด้วยกลีบดอกกุหลาบแน่นอน

จะต้องขอสรรเสริญความยั่งยืนมั่นคงในรักของเจน ที่คุณรับรองที่จะต่อสู้ข้างเคียงกับสตีเฟ่นถัดไป ถึงแม้เขาจำเป็นที่จะต้องเผชิญกับสภาวะอันเลวทรามขนาดไหนก็ตาม มั่นใจว่าเจนเองก็ไม่ใช่คนเขลา มีความคิดว่าคุณก็อ่านออกว่าความสมาคมในคราวนี้นั้นจะนำพาคุณไปสู่อะไร

หนังประเด็นนี้เด่นมาตั้งแต่แบบอย่าง ที่ทำเอาคนไม่ใช่น้อยตั้งหน้าตั้งตาคอยที่กำลังจะได้ดูด้วยตากันสักครั้ง

The Theory of Everything (2014) เต็มเรื่อง

ว่าหนังจะเอ๋ยถึงชีวิตรักของนักวิทยาศาสตร์ระดับอัจฉริยะของโลกไว้อย่างไรบ้าง เมื่อกล่าวถึง สตีเฟ่น ฮอว์คิง คนนี้ก็คงไม่มีผู้ใดไม่เคยทราบหนังสือเล่มดังของเขา “ประวัติโดยย่อของเวลา” จริงแท้แน่นอน ซึ่งต่างหากที่เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่พวกเราจะได้เอ๋ยถึงกันในหน้านี้

Eddie Redmayne บางทีอาจจะยังไม่ถึงโด่งดังมีชื่อเสียงอะไรมากเท่าไรนัก เขาเคยสวมบทเป็นหนุ่มที่ลักขโมยหัวใจของนางเอกมีชื่อเสียงใน ‘My Week with Marilyn’ และก็ร่วมงานในหนังเพลงจากหนังสือดัง ‘Les Misérables’ มาแล้ว เพราะฉะนั้น จะเรียกว่าคนใหม่อาจจะไม่ใช่แน่นอนแล้วก็ในหนังประเด็นนี้ เขาสวมบทบาทเป็นนักวิทยาศาสตร์โด่งดังคนนี้นี่เอง

บทความที่เกี่ยวพันชโรคของสตีเฟ่นนั้นมีชื่อว่า โรคเซลล์ประสาทออกคำสั่งเสื่อม หรือเรียกกล้วยๆว่า โรคกล้ามอ่อนเพลีย ซึ่งทำให้เขาเริ่มควบคุมอวัยวะส่วนต่างๆภายในร่างกายไม่ค่อยได้ แล้วก็มันก็จะหมดสภาพไปตามเวลา โดยหมอบอกว่าเขาอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแต่ไม่นาน

ลักษณะโรคนั้นเริ่มรังแกเขาหนักขึ้นทุกครั้ง อีกทั้งอาการสั่นที่มือทั้งคู่ ทำให้การเขียนของเขานั้นทุกข์ยากและไม่เป็นภาษา การควบคุมร่างกายเริ่มไม่เป็นเหมือนอย่างที่คิด จากเดินขัดข้องกระทั่งควรจะมีใช้ไม้เท้าประคองและก็ลงท้ายด้วยการเดินมิได้กระทั่งจะต้องนั่งรถเข็น และก็ในวันหลังกำเนิดบางเหตุที่ทำให้เขาจำเป็นต้องสูญเสียความรู้ความเข้าใจสำหรับการกล่าวติดต่อไป แม้กระนั้นก็ได้วัสดุจำพวกซึ่งสามารถสลับตัวอักษรจากปลายนิ้วเขาให้เป็นเสียงพูดได้

แม้ว่าจะมีสถานะการณ์ที่มีผลต่อการติดต่อสื่อสารของเขา แม้กระนั้นก็ได้เครื่องตัวหนึ่งมาช่วย มันสามารถแปลงกายอักษรเป็นเสียงพูดได้ในทันทีทันใด ซึ่งในหนังนั้นใช้เวลาเพียงแต่เสี้ยววิก็สามารถตอบโต้กับคนอื่นๆได้แล้ว แต่ว่ามั่นใจว่าในความจริงอาจจำเป็นต้องใช้เวลามากยิ่งกว่านั้น รวมทั้งการที่สตีเฟ่นสามารถแต่งหนังสือออกมาได้เป็นเล่ม จำเป็นต้องใช้เวลาและก็ความมานะบากบั่นเยอะมากเท่าใด

ในตอนเกือบจะด้านหลังของเรื่อง สตีเฟ่นได้ขึ้นเขาเวทีเพื่อเล่าซึ่งๆหน้าคนเป็นอย่างมาก มีอยู่ฉากหนึ่งที่ปากกาของผู้ร่วมสาวตกลงพื้น เขายังจินตนาการถึงภาพตนเองเดินลงเก็บปากกาด้ามนั้น เป็นฉากที่สร้างความรู้สึกสะเทือนใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

The Theory of Everything (2014) เต็มเรื่อง ชีวิตรักของเขานั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่เริ่มเรื่องแล้ว เมื่อสตีเฟ่นพบเห็นหน้าของเจน (Felicity Jones) ทั้งคู่คนก็ดูเหมือนจะหลงเสน่ห์กันโดยทันที ก่อนที่จะความเกี่ยวเนื่องจะก้าวหน้าไปอย่างเร็ว พร้อมๆกับร่องรอยบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับลักษณะของสตีเฟ่นจะค่อยปรากฏเยอะขึ้นเรื่อยๆเรื่อย

โรคร้ายกำลังทำให้ประสาทออกคำสั่งการเคลื่อนไหวร่างกายของสตีเฟ่นลดน้อยลงเรื่อยแพทย์มีความคิดเห็นว่า เขาจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนกับว่าพังทลายลงข้างหน้า แต่ว่า เจนรักเขาและก็เลือกที่จะดูแลเขาถึงแม้มันจะเหลือ “เวลา” น้อยแค่ไหนก็ตาม

ระหว่างที่ “เวลา” กลับกลายสิ่งที่สตีเฟ่นเลือกเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ ด้วยความคาดหวังตั้งมั่นว่าควรต้องหาสมการหรือแนวคิดเพียงแต่อันเดียวที่จะชี้แจงทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลได้ทั้งปวง เสมือนปัญหาจะไม่บางทีอาจกีดขวางพลังที่ความมุ่งมั่นของคนบางบุคคลได้

เรื่องเหล่านี้ประณีตบรรจงขอรับ และก็มีเนื้อหาให้พวกเราตรึกตรองมากมายก่ายกอง ด้วยเหตุนั้นการจะวินิจฉัยใครซักคนเพียงแค่ในในเวลานั้น หรือวินิจฉัยสรุปเขาจากนาทีหนึ่งในสมัยก่อน ย่อมเป็นการวินิจฉัยที่ง่าย แม้กระนั้นบางทีอาจไม่ใช่การวินิจฉัยที่ “ใช่” ไปเสียทั้งสิ้น

สำหรับผม มันเป็นการจบที่งดงามขอรับ คนสองคนได้มีชีวิตในแบบของตนเองถัดไป แม้ว่าจะแยกจากกัน แม้กระนั้นก็ยังกระปรี้กระเปร่าๆต่อกัน ยังคงใช้ชีวิตถัดไปได้อย่างสุขสบาย ไม่เป็นภาระหน้าที่แก่กัน มีแต่ว่าเรื่องดีๆให้ด้วยกันทำต่อไป ทั้งยังยังกระหยิ่มใจกับวันดีๆที่พวกเขาเคยทำด้วยกัน

“The Theory of Everything” (2014) เป็นภาพยนตร์ที่เชี่ยวชาญ

ด้านการสำรวจเรื่องราวชีวิตและความรักของสตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ชื่อดังระดับโลก กำกับโดยเจมส์ มาร์ช ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นการเดินทางที่ฉุนเฉียว กระตุ้นสติปัญญา และสะเทือนอารมณ์ ซึ่งนำเสนอมุมมองใกล้ชิดเกี่ยวกับชีวิตที่น่าทึ่งของชายผู้ท้าทายข้อจำกัดทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางกายภาพ

การแสดงของสตีเฟน ฮอว์คิงของเอ็ดดี้ เรดเมย์นนั้นไม่มีอะไรพิเศษเลย ความทุ่มเทของเรดเมย์นในการดื่มด่ำกับบทบาทนี้ ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ ปรากฏชัดในทุกเฟรม เขาถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงของฮอว์คิงจากเด็กนักเรียนที่มีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์มาเป็นชายหนุ่มที่ค่อยๆ สูญเสียการควบคุมร่างกายของเขาด้วยความลุ่มลึกและความแตกต่างอันยอดเยี่ยม การแสดงของเรดเมย์นทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมที่สมควรได้รับ

เฟลิซิตี้ โจนส์ ผู้รับบท เจน ฮอว์คิง ก็มีการแสดงที่ทรงพลังพอๆ กัน การแสดงความรัก ความทุ่มเท และความท้าทายอันใหญ่หลวงของเจนที่เธอเผชิญในฐานะภรรยาและผู้ดูแลของสตีเฟนช่วยเพิ่มมิติที่ลึกซึ้งให้กับการเล่าเรื่องของเธอ เคมีระหว่างเรดเมย์นและโจนส์ชัดเจน ทำให้ความสัมพันธ์บนหน้าจอของพวกเขาน่าเชื่อถือและสะท้อนอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างการสำรวจผลงานทางวิทยาศาสตร์สุดล้ำของสตีเฟน ฮอว์คิงกับการต่อสู้ดิ้นรนส่วนตัวของเขา แม้จะเจาะลึกความซับซ้อนของฟิสิกส์เชิงทฤษฎีและการมีส่วนร่วมของฮอว์คิงที่มีต่อจักรวาลวิทยา แต่ก็ไม่เคยมองข้ามแก่นทางอารมณ์ของเรื่อง นั่นคือความรักที่ยั่งยืนระหว่างสตีเฟนและเจน

การกำกับภาพและการกำกับศิลป์ของ “The Theory of Everything” มีความงดงามทางสายตา โดยบันทึกช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงและโลกที่เปลี่ยนแปลงไปรอบๆ ฮอว์คิงส์ การใช้แสงและสีมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของสตีเฟนและอารมณ์ของตัวละคร

ดนตรีประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งแต่งโดยโยฮันน์ โยฮันน์สสัน ช่วยเติมเต็มการเล่าเรื่องได้อย่างสวยงาม โดยเพิ่มความลึกและความสะท้อนทางอารมณ์ให้กับช่วงเวลาสำคัญ โดยจะนำทางผู้ชมผ่านเรื่องราวทั้งสูงและต่ำ ช่วยเพิ่มประสบการณ์การรับชมโดยรวม

ในฐานะละครชีวประวัติ “The Theory of Everything” ไม่เพียงแต่เกี่ยวกับความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ของ Stephen Hawking เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ของ Stephen Hawking อีกด้วย เป็นการเฉลิมฉลองจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ไม่ย่อท้อ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ชมไตร่ตรองถึงพลังแห่งความรัก การแสวงหาความรู้ และการฟื้นฟูจิตวิญญาณมนุษย์เมื่อเผชิญกับความยากลำบาก

โดยสรุป “The Theory of Everything” เป็นอัญมณีแห่งภาพยนตร์ที่ผสมผสานการแสดงที่โดดเด่น การเล่าเรื่องที่น่าดึงดูด และภาพที่น่าทึ่งเพื่อสร้างประสบการณ์ที่สะเทือนใจและกระตุ้นความคิด เป็นการแสดงความเคารพต่อหนึ่งในผู้มีความคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงของมนุษย์และผลกระทบที่ยั่งยืนของความรัก ไม่ว่าคุณจะมีความสนใจในวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้งหรือเพียงชื่นชมภาพยนตร์ที่สร้างสรรค์มาอย่างดีและสะท้อนอารมณ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดที่จะทิ้งความประทับใจไม่รู้ลืม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *